สาย้ำไม่ไหลกลับ

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การสานหมวกจากทางมะพร้าว

โครงงานเรียนรู้วิถีชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
เรื่อง การสานหมวกจากทางมะพร้าว




ชื่อผู้จัดทำโครงงาน
1.      นายอาทิตย์          บัวจันทร์        ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
2.      นายจักรี             นาวาทอง       ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
3.      นายศศิธร            จันทร์หอม      ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
4.      นายธนกร            ขันพระแสง     ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
5.      เด็กชายปรัชญา     ทรงสง่า         ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

ครูที่ปรึกษาโครงงาน
1.      นางสาวพัชฎาภรณ์                   กลับส่ง
2.      นางสาวไพลิน                ฮุ่ยสกุล
3.      นางสาวรัตนพร              ไชยสุวรรณ์

ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
ด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักคิด และหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตเพื่อนำไปสู่ความพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตน ของคนไทย สังคมไทย เพื่อให้ก้าวทันต่อยุคโลกาภิวัฒน์ เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าไปพร้อมกับความสมดุลและพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านวัฒนธรรมและทางด้านคุณธรรม ถ้าใช้หลักความพอเพียงเป็นหลักคิดและหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิต ก็จะสามารถอยู่ได้อย่างรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ปรับตัวและพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงได้
เพื่อเป็นการน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ก่อให้เกิดความอยู่เย็นเป็นสุข คณะผู้จัดทำจึงได้เรียนปรึกษากับคุณครูผู้สอน เพื่อจัดทำโครงงานเรียนรู้วิถีชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เรื่อง การสานหมวกจากทางมะพร้าวนี้ขึ้นในรูปแบบของโครงงานการประดิษฐ์ กล่าวคือเป็นการนำวัสดุที่มีในท้องถิ่นนำมาผสมผสานกับภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่น ทั้งนี้เพื่อนำผลผลิตที่ได้ไปใช้ในการเชียร์กีฬาอำเภอเขาพนม และนำประสบการณ์จากการเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันในโอกาสต่อไป



วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน
1.      เพื่อปฏิบัติตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2.      เพื่อเรียนรู้วิธีการสานหมวกจากทางมะพร้าว และอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น
3.      เพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกในด้านคุณธรรมเพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติในการดำรงชีวิต
4.      เพื่อผลงานที่ได้ไปใช้ประโยชน์

สมมติฐานการทำโครงงาน
คณะผู้จัดทำสามารถผลิตหมวกจากทางมะพร้าว เกิดคุณธรรม และนำไปใช้ประโยชน์ได้

ความมุ่งหมายของการศึกษา
เพื่อรวบรวมข้อมูล  เรื่องวิธีการสานหมวกจากทางมะพร้าว เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และสามารถนำไปประกอบอาชีพได้

ขอบเขตของการทำโครงงาน
สถานที่
โรงเรียนเขาดินประชานุกูล อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่
          ระยะเวลา
                   ก.ค. 2556 – ส.ค. 2556

วิธีดำเนินการโครงงาน

ลำดับ
ขั้นตอนการศึกษา
ระยะเวลาดำเนินการ
1.
กำหนดปัญหา
10 กรกฎาคม 2556
2.
ศึกษาค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ต
12 กรกฎาคม 2556
3.
รวบรวมข้อมูลที่ได้
17 กรกฎาคม 2556
4.
ทำการสานหมวก
19 กรกฎาคม 2556
5.
จัดทำรูปเล่มรายงานขึ้น เพื่อออกเผยแพร่ให้กับนักเรียนและคนทั่วไป
24 กรกฎาคม 2556
6.
นำความรู้ที่ได้มาจัดทำขึ้นผังโครงงาน
26 กรกฎาคม 2556
7.
นำผลงานที่ได้ไปใช้ประโยชน์จริง
2 สิงหาคม 2556



วัสดุและอุปกรณ์
1.      มีด
2.      เชือก
3.      ทางมะพร้าว

วิธีการสานหมวก
ขั้นตอนที่ 1การเตรียมใบมะพร้าว
          เริ่มจากการตัดทางมะพร้าวที่เหมาะสม  โดยคำนวณความยาวให้พอดีกับศีรษะของผู้สวมใส่  ไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนใบ  จากนั้นผ่าทางมะพร้าวออกเป็น  2  ซีก  เหลาให้บางโดยจับทวนใบที่ปลายทางมะพร้าว  เหลาออกไปทางโคนเพื่อให้ขดเป็นวงกลมได้  หากลองขดแล้วยังแข็งก็เหลาเพิ่มให้บางจนขดเป็นวงกลมได้
ขั้นตอนที่ 2  การเตรียมฐานหมวก
          ขดทางมะพร้าวที่เหลาแล้วให้เป็นวงกลม  โดยให้ใบมะพร้าวบานออกด้านนอกกะให้พอดีกับวงศีรษะ  หากวงใหญ่เกินไปให้ตัดทางมะพร้าวส่วนที่เกินออก  แล้วจึงใช้เชือกผูกปลายมะพร้าวทั้งสองข้างที่ขดเข้าหากันให้แน่น
ขั้นตอนที่ 3  การสานปีกหมวก
          จับใบมะพร้าวใบใดก็ได้ขึ้นมา 1 ใบ  สานกับใบมะพร้าวถัดไป  3  ใบ  โดยให้ลงใต้เส้นที่ 1  สานขึ้นทับเส้นที่ 2  สานลงใต้เส้นที่ 3  หรือตามจังหวะ  ลงล่าง  ขึ้นบน  ลงล่าง  แล้วจับปลายหมวกไว้ด้านในวงกลม  หยิบเส้นถัดมาสานลงล่าง  ขึ้นบน  และลงล่าง  แล้วจับปลายไว้ด้านในวงกลมเช่นเดิม  โดยทั้ง  2  เส้นแรกยังไม่ต้องดึงให้ชิด  ปล่อยให้ห่างกันไว้ก่อน  จากนั้นสานใบมะพร้าวเส้นที่เหลือตามจังหวะ  ลงล่าง  ขึ้นบน  และลงล่าง  โดยดึงให้แน่นและชิดกัน  โดยเอาก้านมะพร้าวไว้ริมนอกเสมอเพื่อไม่ให้ใบมะพร้าวบิด  สานจนเหลือ  3  ใบสุดท้าย  ให้ขัดตามจังหวะ  ลงล่าง  ขึ้นบน  ลงล่าง  หมุนเข้าหา  2  เส้นแรกที่ปล่อยให้ห่างไว้จนหมด  และดึงให้แน่นและชิดกัน
ขั้นตอนที่ 4  การสานตัวหมวก
          เริ่มจากการจัดเรียงใบมะพร้าวทีละใบเหลือทิ้งไว้  5  ใบ  รวบใบที่เหลือทั้งหมดไว้ด้วยกันแล้วมัดด้วยเชือกไม่ต้องแน่นมากนัก  หยิบใบแรกที่เหลือจากทั้งหมด  5  ใบ  อ้อมไปด้านหลัง  เพื่อสานกับ  3  ใบแรกที่อยู่ด้านตรงข้ามตามจังหวะ  ลงล่าง  ขึ้นบน  และลงล่าง  มัดปลายใบเอาไว้หลวมๆ  ยึดไว้กับชายปีกหมวก  จากนั้นหยิบใบถัดมาอ้อมไปด้านหลังไปสานกับ  3  ใบ ถัดมาที่อยู่ด้านตรงข้ามตามจังหวะ  ลงล่าง  ขึ้นบน  และลงล่าง  แล้วปล่อยปลายใบไว้  ทำจนหมดใบของกลุ่มที่ไม่ได้มัดจากนั้นจึงหยิบใบแรกของกลุ่มใบที่มัดไว้ออกมาโดยไม่ต้องแก้เชือก  อ้อมไปสานด้านตรงข้ามในลายถัดไปตามจังหวะ  ลงล่าง  ขึ้นบน  และลงล่างเช่นกัน  จนถึงใบสุดท้ายซึ่งจะชิดกับใบแรกที่ผูกไว้แล้ว  จึงแก้ใบมะพร้าวที่ผูกไว้ออก  เป็นอันเสร็จขั้นตอนการสานตัวหมวก
ขั้นตอนที่ 5  ดึงให้เข้ารูป
          เมื่อสานหัวหมวกจนครบหมดทุกใบแล้ว  ให้เริ่มดึงปลายใบมะพร้าวทีละใบจนได้รูปทรงตามที่ต้องการ  สามารถดึงซ้ำได้จนกว่าจะได้รูปทรงที่สวยงาม  ก็จะเสร็จขั้นตอนการดึงให้เข้ารูป
ขั้นตอนที่ 6  การเก็บชายหมวก
เมื่อดึงให้เข้ารูปเสร็จแล้ว  อาจปล่อยใบมะพร้าวทิ้งไว้เป็นชายปีกหมวก หรือจะตัดปลายใบพอประมาณ  แล้วสอดเก็บไปทางชายปีกหมวกจนครบทุกใบ ก็จะได้หมวกทางมะพร้าวที่สวยงามไว้สวมใส่

ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการทำโครงงาน
1.      ทำให้ทราบวิธีการสานหมวกจากทางมะพร้าว
2.      เป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น
3.      เกิดคุณธรรมในการทำโครงงาน
4.      สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้



ผลสำเร็จของโครงงาน

หลักพอประมาณ
หลักมีเหตุผล
หลักสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว
1.      การสานหมวกให้พอดี
กับขนาดศีรษะของตนเอง
2.      การเลือกทางมะพร้าว
ที่เหมาะกับการสานหมวก
3.      การใช้เวลาในการสาน
หมวก โดยไม่เบียดบังเวลาเรียน
1.      การอนุรักษ์ภูมิปัญญา
ท้องถิ่น
2.      การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
และเกิดประโยชน์สูงสุด
3.      การประยุกต์ใช้ใน
ชีวิตประจำวัน
1.      มีการวางแผนในการ
ดำเนินงาน
2.      การเลือกใช้ทางมะพร้าว
และอุปกรณ์ที่เหมาะสม
3.      มีหลัก/วิธีในการสาน
หมวกตามขั้นตอน
ความรู้
Ø วิธีการสานหมวกจากทางมะพร้าว
Ø วิธีการเขียนโครงงาน
Ø วิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น
Ø หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
คุณธรรม
Ø คุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ ได้แก่ ขยัน  ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี และมีน้ำใจ
Ø อิทธิบาท 4 ดังนี้
1.      ฉันทะ = มีความพึงพอใจในกิจกรรมที่ทำ
2.      วิริยะ = มีความขยันหมั่นเพียรในการสานหมวกให้สำเร็จ
3.      จิตตะ = มีความสนใจ จดจ่อในงานที่ทำ
4.      วิมังสา = มีการไตร่ตรองหาเหตุผล เช่น ขนาดของหมวกว่าต้องทำขนาดไหนที่เหมาะกับตนเอง เป็นต้น
สู่ 4 มิติ
เศรษฐกิจ
สังคม
สิ่งแวดล้อม
วัฒนธรรม
Ø นำไปจำหน่าย
เป็นรายได้เสริมให้กับนักเรียนได้
Ø ฝึกการทำงาน
ร่วมกันเป็นทีม
Ø ความอดทน
และความมีวินัย
Ø รู้จักใช้ และ
จัดการอย่างฉลาด
Ø เลือกใช้
ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
Ø อนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น









เอกสารอ้างอิง

หนังสือเสริมความรู้ เรื่อง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

http://news.siam55.com

นาฬิกาชีวิต (Biological Clock)

นาฬิกาชีวภาพ (นาฬิกาชีวิต)

เหตุใดระบบการทำงานในร่างกายคนเราถึงทำงานได้เป็นเวลาคล้ายมีโปรแกรมตั้งเวลาระบบไว้ ที่ทำเช่นนี้ได้เพราะในร่างกายมีนาฬิกาชีวิตหรือนาฬิกาชีวภาพ (biological clock) ตั้งอยู่ที่ suprachiasmatic nucleus(SCN)ของสมอง ไฮโพธาลามัส ทำหน้าที่บริหารระบบในร่างกายให้ทำงานสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมของธรรมชาติ เพราะสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติมีปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลา ประกอบกับ ธรรมชาติไม่หยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลมาจากโลกหมุนรอบตัวเองและรอบดวงอาทิตย์ ทำให้โลกอยู่ภายใต้อิทธิพลของแสงจากดวงอาทิตย์ เกิดเป็นวงจรของวัน(circadian rhythm) ใช้ระยะเวลา 24 ชั่วโมงต่อการหมุนรอบตัวเองของโลก 1 รอบ แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงมืด(กลางคืน) กับช่วงสว่าง(กลางวัน) ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตจะต้องปรับสภาวะร่างกายให้ทำงานสอดคล้องกับวงจรของวันใน ธรรมชาติ มิเช่นนั้นแล้วจะทำให้มีอายุขัยสั้นลง

ด้วยเหตุนี้นาฬิกาชีวภาพของคนจึงทำงานเป็นวงจรและใช้ระยะเวลา 24 ชั่วโมงเช่นกัน โดยมี 2 ช่วง คือ ช่วงมืด กับช่วงสว่าง

สำหรับช่วงสว่าง แสงจะกระตุ้น SCN โดยอาศัยตัวรับแสง(melanopsin) ซึ่งอยู่ ที่เรตินา(จอตา) กับที่เส้นใยประสาท retinohypothalamic tract

ส่วนช่วงมืด(กลางคืน) ต่อมไพเนียลของสมองจะหลั่งเมลาโทนิน(melatonin) มากระตุ้น SCN เมื่อ SCN ถูกกระตุ้นก็จะส่งสัญญาณผ่านระบบประสาทและฮอร์โมนไปควบคุมการทำงานของอวัยวะ และต่อมต่างๆ เพื่อให้สภาวะร่างกายดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับวงจรของวันในธรรมชาติ ซึ่งได้แก่ อุณหภูมิของร่างกาย, ความดันเลือด, การเต้นของหัวใจ และวงจรการหลับ-ตื่น

เมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายมาก โดยชักนำให้เกิดการนอนหลับ ปรับการทำงานของนาฬิกาชีวภาพ ช่วยชะลอความแก่ และป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง

แต่เมลาโทนินจะถูกหลั่งออกมาในช่วงกลางคืนเท่านั้น เนื่องจากถูกยับยั้งโดยแสง แม้แสงจะมีความเข้มต่ำเพียง 0.1 ลักซ์(เทียบได้กับแสงในคืนพระจันทร์เต็มดวง) ก็ส่งผลให้ร่างกายหลั่งเมลาโทนินน้อยลงได้

ปัจจัยที่ทำให้นาฬิกาชีวภาพทำงานผิดปกติ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิต (เช่น การนอนไม่เป็นเวลา นอนดึก) ความชรา และโรคบางชนิด เช่น อัลไซเมอร์ มะเร็ง พาร์คินสัน โรคทางจิตเภท (schizophrenia) โรคซึมเศร้า เป็นต้น โดยเซลล์ประสาทใน SCN จะหลั่ง vasopressin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกายและยังส่งผลไปควบคุมสภาวะร่างกาย เช่น อุณหภูมิของร่างกาย การตื่นตัว/ความกระฉับกระเฉง เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น vasopressinและเมลาโทนินจะถูกหลั่งออกมาน้อยลง ส่งผลให้นาฬิกาชีวภาพทำงานผิดปกติ คนชราจึงมีอาการต่างๆ เช่น นอนไม่ค่อยหลับ ใช้ระยะเวลาให้เริ่มหลับนาน ระยะเวลานอนหลับสั้นลง นอนหลับไม่ลึก และเข้านอนเร็ว ทั้งนี้เป็นเพราะตัวรับแสงและตัวรับสัญญาณอื่นๆ ในร่างกายเสื่อมสภาพลง

ส่วนผู้ที่มีอาการอ่อนเพลียจากการเดินทางเป็นเวลานาน (jet lag) ร่างกายจะต้องปรับการทำงานของนาฬิกาชีวภาพใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ จึงเกิดอาการสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ขณะที่นาฬิกาชีวภาพของผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะทำงานช้าลง ทำให้ช่วงเวลาที่อุณหภูมิของร่างกายลดลงต่ำสุดแตกต่างจากคนปกติ คือ จะลดลงในช่วง 9.00 น. ถึงช่วงเย็น แทนที่จะลดลงในช่วง 4.00 – 5.00 น. เหมือนคนปกติ ทำให้ตารางเวลาชีวิตเปลี่ยนไป

โดยช่วงกลางคืนจะมีภาวะวิตกเครียดและนอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นมาทำกิจกรรมและนอนหลับในช่วงกลางวันหรือช่วงเย็นแทน

สำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภท นาฬิกาชีวภาพจะทำงานเร็วผิดปกติ ผู้ป่วยจะนอนหลับไม่สนิทเนื่องจากมีภาวะรบกวนขณะหลับ โดยพบว่า 40-65% ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักจะนอนไม่หลับขั้นรุนแรง คาดว่าเป็นผลมาจากการนอนหลับในช่วงเย็น ทำให้เวลาเข้านอนดึก หลังเวลา 2.00 – 3.00 น. ร่างกายจึงไม่หลั่งหรือหลั่งเมลาโทนินออกมาน้อย

ดังนั้น ในขณะนอนหลับจึงไม่ควรเปิดไฟทิ้งไว้ เพราะมีผลไปยับยั้งการหลั่งเมลาโทนิน และไม่ควรรนอนหลับในช่วงเย็นเพราะจะทำให้ช่วงเวลาเข้านอนต้องเลื่อนออกไป

การแพทย์จีนได้ใช้ทฤษฎี หยิน-หยาง อธิบายความสัมพันธ์ 2 ด้านที่ต่อต้าน/ตรงกันข้ามกัน แต่มีความเกี่ยวเนื่องควบคุมและสัมพันธ์กันตลอดเวลา โดย หยิน หมายถึง เย็น/ร่ม การหยุดนิ่ง กลางคืน ส่วนหยาง หมายถึง ร้อน/สว่าง กลางวัน การเคลื่อนไหว

ดังนั้นหยิน-หยางจึงเปรียบได้กับสภาวะธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งกลางวันและกลางคืน และเปรียบได้กับอวัยวะต่างๆ ในร่างกายที่ทำงานเชื่อมโยงกันและสอดคล้องกับวงจรของวันโดยแต่ละช่วงเวลาจะ มีอวัยวะบางชนิดหรือบางระบบในร่างกายที่ต้องทำงานหนัก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า อวัยวะอื่นๆ จะหยุดทำงาน อวัยวะทั้งหมดยังคงทำงานเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันตลอดเวลา


ความสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะ(ระบบ)ของร่างกายกับช่วงเวลาในวงจรของวัน



เวลา 3.00 – 5.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด เพื่อให้ระบบหายใจได้ทำงานได้เต็มที่ และเซลล์ต่างๆ ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะที่สมอง สมองที่ได้รับออกซิเจนน้อยหรือไม่เพียงพอจะมีผลความจำของคนเราเสื่อมลงได้

และช่วง 4.00 – 5.00 น เป็นช่วงที่อุณหภูมิของร่างกายลดลงต่ำสุด ร่างกายควรได้รับความอบอุ่น หลีกเลี่ยงสภาวะอากาศเย็น ช่วงนี้จึงเหมาะต่อการตื่นนอนเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์และออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น สำหรับคนที่ระบบหายใจหรือปอดมีปัญหา หายใจติดขัด ไอ จาม มีน้ำมูก โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคหอบต้องระวังสุขภาพ เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่อาการกำเริบได้ง่าย

เวลา 5.00 – 7.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ เพื่อขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย และมีการหลั่ง cortisol เพื่อช่วยให้ร่างกายกระปรี่กระเปร่า ช่วงนี้จึงควรดื่มน้ำเพื่อกระตุ้นระบบขับถ่าย และตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นไปจนถึงช่วงหัวค่ำ ความดันเลือดในร่างกายจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น สำหรับคนที่มีสุขภาพอ่อนแอ จะมีอาการคัดจมูก มีน้ำมูก หายใจติดขัด โดยเฉพาะคนที่เป็นโรค หืดควรระวังอาการกำเริบ

เวลา 7.00 – 9.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร เนื่องจากร่างกายต้องการพลังงาน ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารมื้อเช้า สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคไมเกรน ภูมิแพ้ ไขข้ออักเสบรูมาทอยด์ ช่วงเวลานี้ควรระวังอาการกำเริบได้

เวลา 9.00 – 11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้ามและตับอ่อน โดยม้ามทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย กำจัดเม็ดเลือดแดงที่เสื่อมสภาพ ส่วนตับอ่อนจะผลิตเอนไซม์มาช่วยย่อยอาหารที่ลำไส้เล็ก ร่างกายช่วงนี้จะมีความตื่นตัวมาก จึงเป็นช่วงที่เหมาะต่อการ ทำงาน/ทำกิจกรรม

เวลา 11.00 – 13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ ซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุด ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดและสารอาหารไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ช่วงนี้ระดับความดันเลือดในร่างกายยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ดัง นั้นคนที่หัวใจผิดปกติ ช่วงนี้จะมีเหงื่อออกมากและรู้สึกร้อน อบอ้าว

เวลา 13.00 – 15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก ทำหน้าที่ย่อยและดูดซึมอาหาร หากมื้อกลางวันไม่รับประทานอาหารหรือรับประทานอาหารไม่เพียงพอ ช่วงนี้จะรู้สึกหิวและทรมาน

เวลา 15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะ ปัสสาวะ ซึ่งทำหน้าที่เก็บน้ำกรองจากไต โดยช่วง 17.00 น. เป็นช่วงที่หลอดเลือดหัวใจและกล้ามเนื้อในร่างกายมีความแข็งแรง จึงเหมาะต่อการออกกำลังกาย

เวลา 17.00 – 19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต เพื่อกรองของเสียออกจากเลือดและรักษาสมดุลในร่างกาย ช่วง 18.30 น. ระดับความดันเลือดจะเพิ่มขึ้นสูงสุด และ ช่วงนี้จึงควรดื่มน้ำสะอาด (ไม่ควรดื่มน้ำเย็น) และไม่ควรนอนหลับในช่วงนี้ เพราะจะทำให้นอนไม่หลับในช่วงกลางคืน

เวลา 19.00 – 21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของหัวใจ และเป็นช่วงของระบบหมุนเวียนโลหิต โดยช่วง 19.00 น. อุณหภูมิในร่างกายจะเพิ่มขึ้นสูงสุด ผู้ป่วยเป็นโรคผิวหนัง ช่วงนี้ควรระวังอาการกำเริบ

เวลา 21.00 – 23.00 น. เป็นช่วง เวลาของระบบทั้ง 3 (triple heater) ได้แก่ ระบบหายใจ ส่งผลต่อร่างกายช่วงบน(หัวใจ-ปอด) ระบบย่อยอาหารมีผลต่อช่วงกลางลำตัว(กระเพาะ อาหาร ม้าม ตับ) และระบบขับถ่ายมีผลต่อร่างกายช่วงล่าง(ไต กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้เล็ก) เป็นช่วงที่ร่างกายปรับสมดุลความร้อนและเป็นช่วงที่อุณหภูมิในร่างกายจะค่อยๆ ลดลง การขับถ่ายอุจจาระจะหยุดพักชั่วคราว ร่างกายจะเริ่มหลั่งเมลาโทนิน ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ควรนอนหลับพักผ่อน

เวลา 23.00 – 1.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี เพื่อเก็บน้ำดีที่ได้จากตับและส่งน้ำดีมาช่วยย่อยไขมันที่ลำไส้เล็ก ถุงน้ำดีและตับ จึงเป็นอวัยวะที่ทำงานเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กันอย่างมาก

เวลา 1.00 – 3.00 น. ช่วงเวลาของตับ เพื่อกำจัดสารพิษในร่างกาย ลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยนำมาสังเคราะห์และเก็บสะสมในรูปไกลโคเจน และสร้างน้ำดีมาเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี ช่วงนี้ควรเป็น ช่วงที่หลับสนิทเพื่อให้เลือดไหลเวียนมาที่ตับได้ดี เนื่องจากเวลา 2.00 น ร่างกายจะหลั่งเมลาโทนินได้สูงสุด การนอนไม่หลับ เครียด ได้รับสารพิษ หรือรับประทานอาหารหวานจัด จะส่งปัญหาถึงตับ สำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจ ช่วงนี้อาจทำให้อาการกำเริบและหัวใจล้มเหลวได้

ทีนี้ลองพิจารณาพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวเราสิว่า สอดคล้องกับตารางเวลาของนาฬิกาชีวิตหรือไม่? เพราะโรคบางโรค อาจมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา


สรุปช่วงเวลา ระบบที่เกี่ยวข้อง ข้อควรปฏิบัติ

01.00 – 03.00 น. [ตับ] นอนให้หลับสนิท
03.00 – 05.00 น. [ปอด] ตื่นนอน สูดอากาศบริสุทธ์
05.00 – 07.00 น. [ลำใส้ใหญ่] ขับถ่ายอุจจาระ
07.00 – 09.00 น. [กระเพาะอาหาร] กินอาหารเช้า
09.00 – 11.00 น. [ม้าม] พูดน้อย กินน้อย ไม่นอนหลับ
11.00 – 13.00 น. [หัวใจ] หลีกเลี่ยงความเครียดทั้งปวง
13.00 – 15.00 น. [ลำไส้เล็ก] งดกินอาหารทุกประเภท
15.00 – 17.00 น. [กระเพาะปัสสาวะ] ทำให้เหงื่อออก(ออกกำลัง)
17.00 – 19.00 น. [ไต] ทำให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงา
19.00 – 21.00 น. [เยื่อหุ้มหัวใจ] สวดมนต์ ทำสมาธิ
21.00 – 23.00 น. [ระบบความร้อนของร่างกาย] ทำร่างกายให้ อบอุ่น
23.00 – 01.00 น. [ถุงน้ำดี] ดื่มน้ำก่อนเข้านอน


ที่มา


1. อรพินทร์ เชียงปิ๋ว. นาฬิกาชีวภาพ. วารสารวิทยาศาสตร์. 2550;1:47-54
2. Archive for the organ and channel category. [online] [cited 2008 Sep] Available from:http://acupunctureiseasy.com/category/organ-and-channels/
3. Coturnix. Circadian quackery. [online] [cited 2008 Sept] Available from:http://scienceblogs.com/clock/2005/05/circadian_quackery_1.php
4. Kraft U. Rhythm and blues. Sci Am. 2007;18:62-5
5. Lewith GT. The basic principles of chinese traditional medicine. [online] [cited 2008 Sep] Available from:http://www.healthy.net/scr/article.asp?id=1707
6. Nadu T. Clock theory for human organs. [online] 2006[cited 2008 Sep] Available from:http://www.hinduonnet.com/thehindu/thscrip/print.pl?file=200609
7. Phillips RH. Chinese Time Clock & VidaCell. [online] 2007[cited 2008 Sep] Available from:http://www.avalonhealthinfo.com/articles/2/1/Chinese-Time-Clock-amp-VidaCell/Page1.html
8. Wright K. Time of our lives. Sci Am. 2006;16:27-33